
ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้เดินทางไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบจริยธรรมของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรณีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่องความร่วมมือพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยอ้างว่าการลงนามดังกล่าวมีข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใสและอาจเข้าข่ายขัดต่อกฎหมายและจริยธรรม เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในกระบวนการทำงานของภาครัฐในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของชาติ
ประเด็นสำคัญจาก: “ศรีสุวรรณ” ยื่น ป.ป.ช. สอบจริยธรรมฯ “อนุทิน” ปม MOU แร่แรร์เอิร์ธ
การยื่นเรื่องของนายศรีสุวรรณ จรรยา ต่อ ป.ป.ช. ในครั้งนี้ มีจุดประสงค์หลักเพื่อตรวจสอบพฤติการณ์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล กรณีการลงนาม MOU กับเอกชนรายหนึ่งเมื่อช่วงปลายปี 2565 เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่ามหาศาลและมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน แร่หายากเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงหลากหลายแขนง อาทิ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า ระบบป้องกันประเทศ และพลังงานหมุนเวียน ดังนั้น การบริหารจัดการทรัพยากรประเภทนี้จึงต้องเป็นไปอย่างรัดกุม โปร่งใส และคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ
ข้อสงสัยที่นายศรีสุวรรณหยิบยกขึ้นมาพิจารณาคือ การลงนาม MOU ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่นายอนุทินดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการกำกับดูแลกิจการเหมืองแร่หรือทรัพยากรธรรมชาติ บทบาทดังกล่าวควรเป็นของกระทรวงอุตสาหกรรมหรือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การที่รัฐมนตรีจากกระทรวงอื่นเข้ามาลงนามใน MOU ที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีผลผูกพันในระยะยาวได้ จึงเป็นประเด็นที่สร้างความกังขาให้กับสาธารณชน นอกจากนี้ เนื้อหาของ MOU และเงื่อนไขที่ตกลงกันก็ยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างชัดเจน ทำให้เกิดคำถามว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ มีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้านเพียงพอหรือยัง และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในระยะยาวจริงหรือไม่
การดำเนินการของนายศรีสุวรรณจึงมุ่งหวังให้ ป.ป.ช. เข้ามาพิจารณาว่าการกระทำของนายอนุทินเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 หรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นของการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ หรือการกระทำที่อาจนำไปสู่ผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำผิดจริง อาจมีผลต่อสถานภาพทางการเมืองของนายอนุทินและสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการตรวจสอบการใช้อำนาจของนักการเมืองในอนาคต
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
ประเด็น MOU แร่แรร์เอิร์ธนี้ ได้รับความสนใจจากหลายฝ่ายเนื่องจากแร่หายากถือเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่ทั่วโลกกำลังจับตา การครอบครองและพัฒนาแร่เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการก็จำเป็นต้องมีหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในทุกขั้นตอน การลงนาม MOU ระหว่างหน่วยงานรัฐกับภาคเอกชน ควรต้องผ่านกระบวนการศึกษาและวิเคราะห์อย่างรอบคอบ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาชน การขาดความชัดเจนหรือการดำเนินการที่อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจหน้าที่ อาจนำไปสู่ข้อสงสัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อนและการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงต่อผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว
ก่อนหน้านี้ มีการตั้งข้อสังเกตจากนักวิชาการและภาคประชาสังคมหลายกลุ่มเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติของไทย ซึ่งมักพบปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน และการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน การยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ในครั้งนี้จึงเป็นความพยายามที่จะใช้กลไกขององค์กรอิสระในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหาร เพื่อให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใสในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรของชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของประเทศและประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสังคมโดยรวม การตรวจสอบครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การพิจารณาความผิดส่วนบุคคล แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานการบริหารราชการแผ่นดินให้มีความรับผิดชอบและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
สรุปข่าวทั้งหมด
การยื่นเรื่องของนายศรีสุวรรณ จรรยา ต่อ ป.ป.ช. เพื่อสอบจริยธรรมนายอนุทิน ชาญวีรกูล กรณี MOU แร่แรร์เอิร์ธ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาคประชาชนในการตรวจสอบการใช้อำนาจของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ ประเด็นสำคัญอยู่ที่การลงนาม MOU ที่อาจอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจหน้าที่ และความไม่โปร่งใสของเนื้อหาข้อตกลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว การตรวจสอบของ ป.ป.ช. ในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างหลักธรรมาภิบาลและการกำกับดูแลการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน การติดตามผลการพิจารณาของ ป.ป.ช. จะเป็นบทพิสูจน์ถึงความโปร่งใสและความรับผิดชอบของภาครัฐในประเด็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญนี้

