นายกฯ แก้ไขคำสั่ง ที่ 229/2563 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนกัน โดยมีผลเปลี่ยนแปลงการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี จำนวน 4 คน ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการระดับชาติและคณะกรรมการบริหารนโยบายต่างๆ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับการทำงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล การแก้ไขคำสั่งดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความพยายามของฝ่ายบริหารในการปรับโครงสร้างการทำงานเพื่อตอบสนองต่อภารกิจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางเศรษฐกิจและสังคม โดยคำสั่งใหม่นี้จะเข้ามาแทนที่คำสั่งเดิมในส่วนของการมอบหมายงานแก่รองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการเป็นประธานคณะกรรมการต่างๆ และกำหนดให้รองนายกรัฐมนตรีแต่ละท่านมีภารกิจหลักที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ประเด็นสำคัญจาก: นายกฯ แก้ไขคำสั่ง ให้ 4 รองนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลง การปฏิบัติหน้าที่ “ประธานบอร์ดนโยบายฯ”
การแก้ไขคำสั่งดังกล่าว เป็นไปตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 252/2566 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนกัน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2566 ซึ่งมีผลให้รองนายกรัฐมนตรี 4 ท่าน ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มีการปรับเปลี่ยนบทบาทและหน้าที่ในการเป็นประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายต่างๆ การเปลี่ยนแปลงนี้ครอบคลุมหลายคณะกรรมการสำคัญที่เกี่ยวพันกับการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านพลังงาน, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านความมั่นคง และด้านสังคม ซึ่งสะท้อนถึงการจัดสรรทรัพยากรบุคคลเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับความเชี่ยวชาญและบทบาทของแต่ละบุคคล
สำหรับในรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงนั้น คำสั่งฉบับนี้ได้กำหนดให้ การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนกัน ตามคำสั่งเดิมที่ 229/2563 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2563 ในส่วนที่ 2 การปฏิบัติราชการ ในฐานะประธานกรรมการในคณะกรรมการต่างๆ ให้ยกเลิกความเดิมและให้ใช้ความใหม่ตามที่ระบุในคำสั่งฉบับแก้ไข สิ่งนี้เป็นการส่งสัญญาณถึงการปรับกลยุทธ์และแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนและนโยบายระยะยาวที่ต้องการการกำกับดูแลที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสลับเก้าอี้ แต่เป็นการจัดสรรภารกิจเพื่อให้รองนายกรัฐมนตรีแต่ละท่านสามารถนำความรู้ความสามารถมาใช้ในการบริหารงานได้อย่างเต็มที่และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
การปรับเปลี่ยนประธานคณะกรรมการชุดต่างๆ โดยนายกรัฐมนตรี เป็นผลสืบเนื่องมาจากโครงสร้างและภารกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ที่ต้องการจัดสรรบุคลากรให้เหมาะสมกับความรับผิดชอบในแต่ละด้าน นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันเป็นทีม และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การแก้ไขคำสั่งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับจูนกลไกการทำงานของรัฐบาลให้มีความคล่องตัวและตอบสนองต่อความท้าทายต่างๆ ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ การมอบหมายอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจนให้กับรองนายกรัฐมนตรีแต่ละท่านในการเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายต่างๆ นั้นจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงานและเพิ่มความรับผิดชอบโดยตรงให้กับผู้ที่ได้รับมอบหมาย ทำให้การตัดสินใจและการดำเนินการในระดับคณะกรรมการเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีทิศทางที่ชัดเจน
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของนายกรัฐมนตรีในการสร้างความสมดุลและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและการประสานงานข้ามกระทรวง ทบวง กรม การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีที่มีประสบการณ์และความรู้ความสามารถในแต่ละด้านเป็นผู้รับผิดชอบหลักในคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมืออาชีพและตอบโจทย์ปัญหาของประชาชนได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งภาคประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
สรุปข่าวทั้งหมด
สรุปคือ การที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้ลงนามในคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อปรับเปลี่ยนบทบาทและหน้าที่ในการเป็นประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายต่างๆ ของรองนายกรัฐมนตรีทั้ง 4 ท่าน ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างการบริหารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การเปลี่ยนแปลงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ลดความซ้ำซ้อน และสร้างความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ของแต่ละบุคคล เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างทันท่วงทีในอนาคต การปรับเปลี่ยนดังกล่าวจะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับการบริหารราชการแผ่นดินและสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลในชุดนี้

