เท้ง — อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งจังหวัดปทุมธานี ได้ลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัด ในการนี้เขาเสนอให้รัฐบาลพิจารณาการจัดการน้ำและการเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเป็นธรรม โดยวิจารณ์การเหมาจ่ายเงินเยียวยาจำนวน 9,000 บาทว่าอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการที่แท้จริงของประชาชน เท้งระบุว่าควรมีการพิจารณาแนวการบริหารจัดการน้ำอย่างจริงจัง และยึดหลักความเป็นธรรมในการเยียวยาผู้ประสบภัย
ประเด็นสำคัญจาก: “เท้ง” ลุยน้ำท่วมปทุมฯ แนะรัฐบาลทบทวนแนวบริหารจัดการน้ำ เยียวยาต้องเป็นธรรม ไม่ใช่เหมาจ่าย 9,000 บาท
การลงพื้นที่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากปัญหาน้ำท่วมซ้ำซ้อนในหลายพื้นที่ของจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องและการจัดการน้ำที่ยังไม่สามารถระบายได้ทันท่วงที เท้งกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับปรุงทั้งระบบการบริหารจัดการน้ำร่วมกับการดูแลวางแผนที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่และภาคเกษตรกรรมได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ทั้งนี้ เท้งยังเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการใช้เงินงบประมาณในส่วนของการเยียวยาผู้ประสบภัย โดยการกำหนดจำนวนเงินเหมาจ่าย 9,000 บาทต่อครัวเรือนนั้น ไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์จริงของแต่ละครอบครัวที่อาจมีภาระและความเสียหายแตกต่างกัน สิ่งนี้อาจส่งผลถึงความไม่เป็นธรรมและการใช้ทรัพยากรทางการเงินของรัฐอย่างไม่คุ้มค่า
การลงพื้นที่ของเท้งมีความหมายอย่างยิ่งในแง่ของการกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายบริหารจัดการน้ำที่เป็นระบบและยั่งยืน รวมถึงการเยียวยาที่คำนึงถึงความจริงเฉพาะหน้าของผู้ประสบภัย
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
เท้งได้ย้ำถึงความสำคัญของการจัดการระบบข้อมูลและคาดการณ์สภาพภูมิอากาศที่ตรงต่อเวลา ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมได้ในระยะยาว นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนในแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นซ้ำซากในหลายพื้นที่
เขายังเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจที่รวมทั้งนักวิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อวางแผนและติดตามการจัดการน้ำอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ เพื่อหยุดการจมปลักของการจัดการน้ำที่ขาดความยั่งยืนและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างเต็มที่
สรุปข่าวทั้งหมด
สรุปได้ว่า การเสนอของเท้งในการลงพื้นที่น้ำท่วมครั้งนี้เป็นการชี้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแนวทางการจัดการน้ำในจังหวัดปทุมธานีและประเทศในภาพรวม เขาเน้นย้ำว่าการเยียวยาควรเป็นไปอย่างเป็นธรรมและเหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะของแต่ละครอบครัว สุดท้ายนี้ ประชาชนคงต้องติดตามการตอบสนองของรัฐบาลว่าจะแก้ไขปัญหาและแปรเปลี่ยนนโยบายดังกล่าวได้อย่างจริงจังและมีผลลัพธ์ต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ประสบภัยหรือไม่

