กมธ.แก้รธน. ได้จัดการประชุมเพื่อเลือกประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับใหม่) โดยผลการลงคะแนนลับปรากฏว่า นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ ท่ามกลางความเคลื่อนไหวจากพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยที่ประกาศไม่รับตำแหน่งประธานและรองประธาน สส.จากพรรคการเมืองทั้งสองระบุถึงเหตุผลในการปฏิเสธครั้งนี้ว่าต้องการให้พรรคอันดับหนึ่งและอันดับสองซึ่งก็คือพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้ร่วมกันขับเคลื่อนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ การประชุมในครั้งนี้ยังได้ข้อสรุปร่วมกันในการเพิ่มความถี่ของการประชุมเป็นสัปดาห์ละ 3 วัน เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ และคาดหวังว่าจะสามารถศึกษาแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน
ประเด็นสำคัญจาก: กมธ.แก้รธน.ลงคะแนนลับเคาะ “ณัฐวุฒิ” นั่งปธ. ภท.-พท.ไม่รับตำแหน่ง ลุยประชุมสัปดาห์ละ 3 วัน
การเลือกประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับใหม่) เป็นไปตามวาระภายหลังจากการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ซึ่งได้เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมรัฐสภา โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานชั่วคราวในการดำเนินการเลือกประธาน ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเสนอชื่อตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ หลายพรรค อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการหารือและพิจารณาอย่างรอบคอบ รวมถึงการลงคะแนนลับ ผลปรากฏว่า นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อจากพรรคก้าวไกล ได้รับเสียงสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งประธาน โดยไม่มีผู้เสนอชื่อจากพรรคอื่น ๆ เข้าแข่งขันโดยตรงในขั้นตอนสุดท้าย เนื่องจากพรรคสำคัญอย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยซึ่งมี สส. นั่งอยู่ในคณะกรรมาธิการฯ ได้แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าจะไม่รับตำแหน่งประธานหรือรองประธานในคราวเดียวกัน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย
ในส่วนของผู้ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานนั้น ประกอบด้วย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นรองประธานคนที่ 1, นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เป็นรองประธานคนที่ 2, นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจากพรรคเพื่อไทย เป็นรองประธานคนที่ 3 และนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นรองประธานคนที่ 4 ซึ่งการคัดเลือกตำแหน่งรองประธานก็เป็นไปอย่างราบรื่นและได้รับการยอมรับจากคณะกรรมาธิการฯ ในภาพรวม การจัดสรรตำแหน่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายอำนาจและการทำงานร่วมกันของหลายภาคส่วนทางการเมืองเพื่อขับเคลื่อนภารกิจสำคัญในการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นผลสำเร็จ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดที่ประชาชนต้องการ
รายละเอียดต่อยอดจากประเด็นข้างต้น
หลังจากที่ได้มีการลงมติเลือกประธานและรองประธานคณะกรรมาธิการฯ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ในฐานะประธานคนใหม่ ได้แถลงถึงความมุ่งมั่นในการทำงาน โดยได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมาธิการทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายสำคัญของคณะกรรมาธิการ คือ การทำงานเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติ โดยคำนึงถึงบริบททางสังคมและสถานการณ์ปัจจุบัน การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญและท้าทาย ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน และการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างรอบด้าน การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย แต่เป็นการสร้างหลักประกันและทิศทางใหม่สำหรับอนาคตของชาติ เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความสมบูรณ์ ยุติธรรม และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
ประเด็นสำคัญอีกประการที่ได้มีการหารือและมีข้อสรุปที่น่าสนใจคือเรื่องของความถี่ในการประชุม โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เพิ่มความถี่ของการประชุมจากเดิมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อให้สามารถพิจารณาและศึกษาแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การตัดสินใจเพิ่มวันประชุมนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่จะเร่งรัดกระบวนการให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลาที่ตั้งไว้ที่ 240 วันนับจากวันที่คณะกรรมาธิการฯ ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเสนอผลการศึกษาต่อรัฐสภา เพื่อพิจารณาต่อไป การเร่งรัดกระบวนการนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคณะกรรมาธิการฯ ในการสานต่อภารกิจสำคัญนี้ให้แล้วเสร็จภายในกำหนด และตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นความคืบหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
สรุปข่าวทั้งหมด
การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับใหม่) ได้บรรลุผลสำคัญในการเลือกนายณัฐวุฒิ บัวประทุม จากพรรคก้าวไกล ให้ดำรงตำแหน่งประธาน โดยมีรองประธานจากหลากหลายพรรคการเมืองที่ร่วมมือกันขับเคลื่อนภารกิจนี้ แม้พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยจะแสดงเจตนารมณ์ไม่รับตำแหน่งประธานและรองประธาน แต่ก็ยังคงมีส่วนร่วมในการเป็นคณะกรรมาธิการ เพื่อสนับสนุนกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การที่ที่ประชุมมีมติเพิ่มความถี่ในการประชุมเป็นสัปดาห์ละ 3 วัน ชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเร่งรัดการทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน เพื่อนำเสนอผลการศึกษาต่อรัฐสภาและตอบสนองความคาดหวังของประชาชนในการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะส่งผลต่อทิศทางการเมืองและสังคมไทยในระยะยาวต่อไป

